ประวัติของซิกมันด์ ฟรอยด์ (ค.ศ. 1856 – 1939) ฟรอยด์ เป็นชนชาติยิว ในช่วงวัยเยาว์นั้น เขาอาศัยอยู่ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในปี ค.ศ. 1881 ได้เรียนสำเร็จแพทย์จากมหาวิทยาลัยของเวียนนา ได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยและเขียนผลงานเกี่ยวกับประสาทวิทยา ในที่สุดเขาก็ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการรักษาเกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท เขาได้ศึกษาและฝึกงานกับจิตแพทย์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ เจ. เอ็ม. ชาร์คอต (J.M. Charcot) ในการรักษาคนไข้ฮิสทีเรีย (Hysteria) ในปี ค.ศ. 1894 ฟรอยด์ ได้ประกาศแนวคิดของเขาว่า การรักษาคนไข้โรคประสาทไม่ควรใช้วิธีการสะกดจิตวิธีเดียว น่าจะใช้วิธีเชื่อมโยงอย่างอิสระ (Free Association) โดยให้คนไข้พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่คนไข้คิดออกในขณะนั้นให้มากที่สุด แล้วนำเอามาวิจัยหาสาเหตุที่คนไข้เก็บกด เขาได้ศึกษาเรื่องของจิตวิเคราะห์อยู่นานถึง 10 ปี และในปี ค.ศ. 1908 มีการประชุมจิตแพทย์ขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกว่า International Congress of Psychoanalysis
ในปี ค.ศ. 1918 ฟรอยด์ ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1939 รวมอายุได้ 83 ปีเศษ สำหรับหนังสือของฟรอยด์ที่เขียนไว้มีหลายเล่ม เช่น
- My Interpretation of Dream
- On The Psychical Mechanism of Historical Phenomena
- Three Essays on Sexuality
- Beyond the Pleasure Principle
1. สัญชาตญาณในการดำรงชีวิต (Life Instinct) คือ สัญชาตญาณในการตอบสนองความต้องการของร่างกาย เช่น ความต้องการอาหารเพื่อบำบัดความหิว ความต้องการทางเพศเพื่อดำรงชาติพันธุ์
2. สัญชาตญาณแห่งความตาย (Death Instinct) คือ สัญชาตญาณในการดับสังขารและถึงความตายในที่สุด เช่น กลวิธานการป้องกันตนเอง ได้แก่ การถอยกลับสู่ความเป็นเด็ก (Regression) การกระทำซ้ำซาก (Repetition) นั่นคือ สัญชาตญาณแห่งความตายสัญชาตญาณทั้ง 2 อย่าง ฟรอยด์ ได้กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับหลักแห่งความพอใจ (Principle of Pleasure) เพราะมนุษย์ทุกคนต้องการความสุขกายสบายใจ โดยคำนึงถึงสภาวะความเป็นจริง ซึ่งบางอย่างบุคคลไม่สามารถแสดงออกต้องสะกดกลั้นไว้ จึงทำให้เกิดความขัดแย้งในใจ และก่อให้มีพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าว
3.กระบวนการทำงานตามธรรมชาติของจิตมนุษย์ ฟรอยด์ แบ่งกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของจิตมนุษย์ไว้ 3 ระดับ โดยการเปรียบจิตเสมือนภูเขาน้ำแข็งลอนน้ำ ซึ่งจะปรากฏลักษณะภูเขาน้ำแข็ง 3 ส่วน ดังนี้
1. จิตสำนึก (The Conscious Mind) เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งส่วนที่อยู่เหนือน้ำเป็นที่รวมแห่งความรู้สึก สติสัมปชัญญะ ซึ่งบุคคลสามารถรู้ตังโดยตระหนักในการกระทำต่างๆของตน หรือกรทำโดยรู้สึกตัวและมีสติ
2. จิตใต้สำนึก (The Unconscious Mind) เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำอันเป็นที่รวมของกระบวนการความคิด ความรู้สึก ความจำ ความต้องการ เรื่องราวต่างๆ ที่สะสมไว้ในจิตไร้สำนึก พฤติกรรมหรือการแสดงออกมาจะเป็นการกระทำโดยไม่รู้สึกตัว
3. จิตใต้สำนึก (The Subconscious Mind) เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งส่วนที่อยู่ระดับผิวน้ำระหว่างปลายเขตของจิตสำนึกต่อกับจิตไร้สำนึก ประสบการณ์ต่างๆ ที่สะสมไว้ในจิตใต้สำนึกนั้น ถ้าอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมก็จะปรากฏในจิตสำนึก
4. โครงสร้างของบุคลิกภาพ ฟรอยด์ กล่าวว่า พฤติกรรมของบุคคลจะแสดงออกมาเช่นใด ลักษณะใดนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้าง 3 ส่วนของจิต คือ
1.อิด (Id) เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ติดตัวมากำเนิด อิดเป็นระยะแรกเริ่มของบุคลิกภาพที่ประกอบด้วยความต้องการพื้นฐานของชีววิทยา 2 ประการ คือ ความต้องการทางเพศหรือความต้องการดำรงพันธุ์ และความต้องการก้าวร้าว ซึ่งความต้องการนี้เป็นพลังที่ไม่ได้ขัดเกลา ไม่รับรู้กฎระเบียบของสังคม แต่จะสนองความต้องการของตนตามหลักการที่แสดงถึงความพึงพอใจ (The Pleasure Principle) โดยไม่คำนึงเหตุผล ขาดการควบคุมหรือยั้งคิด การแสดงออกของความต้องการที่ไม่ได้ขัดเกลานี้ทำให้มนุษย์ มีพฤติกรรมหรือการะกระทำที่ขาดความยั้งคิด ขาดสติ
2.อีโก้ (Ego) เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่พัฒนาเพิ่มเติมต่อจากอิด หน้าที่ของอีโก้ คือ ทำหน้าที่เรียนรู้ รับรู้ด้วยเหตุและผล เป็นกลไกลสำคัญในการควบคุมแรงขับจากสัญชาตญาณทำหน้าที่ยับยั้งอิด นอกจากนี้ยังเปลี่ยนรูปแบบการแสดงออกของพฤติกรรมให้เหมาะสม ที่เรียกว่ากลวิธานป้องกันตน (Defense Mechanism) หรืออาจกล่าวได้ว่า อีโก้คอยควบคุมการแสดงออกของอิดให้เหมาะสม สอดคล้องกับความเป็นจริงที่สังคมยอมรับ
3.ซูเปอร์อีโก้ (Superego) เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่พัฒนาขึ้นจากการที่อีโก้ได้มีประสบการณ์กับสภาพความเป็นจริงในชีวิต และอยู่ในส่วนของจิตสำนึก เป็นพลังจิตฝ่ายสูงทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรม การกระทำของบุคคล เปรียบเสมือนคุณธรรม จรรยาบรรณ มโนธรรม ที่คอยดูแลพฤติกรรม หรือการกระทำว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ควบคุมการแสดงพฤติกรรมของบุคคลโดยยึดหลักค่านิยมของสังคม (Value Principle) เพื่อตัดสินว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีในสังคม ซึ่งซูเปอร์อีโก้ของแต่ลุบุคคลจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการได้รับการอบรมเลี้ยงดู
โครงสร้างของจิตทั้ง 3 ส่วนนี้จะทำงานประสานกัน บุคคลที่มีสุขภาพจิตดี คือ บุคคลที่อิด อีโก้ และซูเปอร์อีโก้ ทำงานประสานกันได้ดี หากทั้ง 3 ส่วนดังกล่าวขาดความสมดุลกันหรือเกิดความขัดแย้งกันย่อมเป็นสาเหตุให้บุคคลนั้นมีความบกพร่องทางอารมณ์ เกิดความไม่สบายใจ อันจะนำไปสู่ความเครียด ความวิตกกังวล ทำให้มีพัฒนาการทางอารมณ์ไม่เหมาะ ถ้าอิดมีอำนาจหรือพลังมากเกินไปจะก่อให้เกิดพฤติกรรม หรือการกระทำที่ขาดความยั้งคิดหรือขาดสติ ถ้าอีโก้ครอบคลุมพลังของอิดบุคคลก็ขาดชีวิตชีวา และซูเปอร์อีโก้มีอำนาจมากเกินไปบุคคลนั้นจะกลายเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบตามที่สังคมยอมรับ แต่จะขาดความสุข เพราะมีแต่ความเคร่งครัดและเคร่งเครียด
5. การพัฒนาบุคลิกภาพฟรอยด์ เน้นพัฒนาการของบุคลิกภาพในระยะต้นของชีวิตว่า บุคลิกภาพจะเริ่มก่อตัวในระยะปลายปีที่ 5 เขาสรุปว่า การพัฒนาบุคลิกภาพมี 5 ขั้น แต่ละขั้นก็จะทำให้อินทรีย์เกิดความพอใจตามอวัยวะส่วนต่างๆดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นปาก (Oral Stage) นับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงขวบแรกของชีวิต ความสุขของทารกจะอยู่ที่การได้ดูดนมมารดา หากได้รับการตอบสนองมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจะทำให้เกิดการตรึงแน่นของพฤติกรรม (Fixation) เช่น ชอบดูดนิ้ว ดูดปากกา ดินสอ กัดเล็บ มาก ปากจัด เป็นต้น บุคลิกภาพยอมตาม คอยพึ่งพาอาศัยบุคคลอื่น ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง มักจะมองโลกในแง่ดีหรือร้ายเกินไป
ขั้นที่ 2 ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) อยู่ในระยะ 2-3 ขวบ ความสุขที่ได้รับจากทางปากจะเปลี่ยนมาเป็นบริเวณขับถ่าย เด็กเริ่มพัฒนาความพร้อมทางกล้ามเนื้อขับถ่ายให้แข็งแรงขึ้น ควรมีการผ่อนปรนบ้าง ถ้ามีการเข้มงวดกวดขันมากหรอน้อยเกินไปอาจก่อให้เกิดความวิตกกังวล จะมีปฏิกิริยาที่ต่อต้าน หรือขัดขืน ดื้อดึง ตระหนี่ถี่เหนียว หรือมีบุคลิกภาพแบบเผด็จการต้องการมีอำนาจมาก ใจแคบ มีอคติ
ขั้นที่ 3 ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) อยู่ในระยะ 3-6 ขวบ ความสุขจะเลื่อนจากอวัยวะขับถ่ายมาเป็นอวัยวะเพศ เด็กต้องการความใกล้ชิดจากพ่อและแม่ เพื่อเป็นแบบในการปรับตัวในช่วงนี้เด็กจะเกิดความสับสน เพราะทั้งเด็กหญิงและเด็กชายจะเริ่มสนใจอวัยวะเพศของตัวเอง มีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องความแตกต่างทางเพศด้านกายวิภาค
6.ทฤษฎีบุคลิกภาพของคาร์ล กุสตาฟ จุง (Carl Gustav Jung’s PersonalityTheor)
ประวัติของคาร์ล กุสตาฟ จุง (Carl Gustav Jung. 1875-1961) จุง กิดเมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม ค.ศ. 1875 ที่เมือง Kesswyl ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 6 มิถุนายา 1961 เขาสำเร็จพทย์จากมหาวิทยาลัยบา
เซิล (University of Basel) จุงมีความเชื่อในเรื่องของจิตไร้สำนึกซึ่งสะสมมาแต่อดีต (Collective Unconscious) หรือประสบการณ์ในจิตไร้สำนึก (Personal Unconscious และจุงยังเสนอบุคลิกภาพ 2 แบบ คือ แบบเปิดตัว (Extraversion) และแบบเก็บตัว (Introversion) พร้อมกับแง่คิดในเรื่องรูปลักษณ์ (Archetype) ปม (Complex) และสัญลักษณ์ (Symbol) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 จุงรับราชการเป็นแพทย์ของกองทัพบก ต่อมาใน
ปี ค.ศ. 1933,1936 – 1940 ได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยที่ซูริกและบาเซิล เขาได้รับเชิญเป็นองค์ปาฐกตามมหาวิทยาลัยต่างๆ นอกจากเป็นนักจิตวิทยาแล้วจุงยังได้รับการยกย่องว่าเป็นนักการศึกษาด้วย เขาได้เขียนหนังสือและบทความหลายเรื่อง เช่น
1.The Psychology of Dementia Praecon
2.Psychology of The Unconscious
3.Psychological Types
ลักษณะของบุคลิกภาพที่ไม่พึงประสงค์
1. ประเภทหมกมุ่นอยู่กับตนเอง มักจะท้อแท้ เบื่อหน่าย ผิดหวัง มีความเคียดแค้น พวกนี้เป็นพวกที่ได้รับความผิดหวังในสัมพันธภาพระหว่างตนเองและผู้อื่น2. ประเภทไม่สุงสิงกับใคร บุคคลประเภทนี้มักรู้สึกว่าทำดีกับใครไม่ขึ้น มักจะมีความน้อยใจ สาเหตุอาจจะเนื่องจากไม่ได้รับความรักในวัยเด็ก จึงพัฒนาความรู้สึกไม่ไว้วางใจผู้อื่นไม่ยึดตอดกับใคร
3. ประเภทต้องพึ่งพาผู้อื่น พวกประเภทนี้มักไม่มีความคิดเป็นของตนเอง คอยแต่ฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของบุคคลอื่น ยึดคนอื่นเป็นที่พึ่ง สาเหตุที่มีบุคลิกภาพแบบนี้อาจจะเป็นเพราะการอบรมเลี้ยงดูในครอบครัวที่พ่อแม่วางอำนาจหรือเผด็จการ
4. ประเภทไม่เป็นมิตนกับใคร คนประเภทนี้มักมีอารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิด อาจมีสาเหตุมาจากบิดามารดาที่เคี่ยวเข็ญมากเกินไป และมักจะไม่พอใจกับผลกระทำของบุตร บุคคลประเภทนี้จะไม่ประสงค์คบหาใคร
5. ประเภทชอบคัดค้าน บุคคลประเภทนี้มักจะชอบค้าน ชอบเรียกร้องความสนใจ สาเหตุอาจเป็นเพราะขณะอยู่ในวัยเด็ก ชอบเรียกร้องความสนใจ เมื่อเจริญเติบโตขึ้นก็ยังคงใช้วิธีค้านถ้ารู้สึกว่าตนเองถูกคุกคาม
6. ประเภทรักร่วมเพศ คนประเภทนี้มักมีการปรับตัวในเรื่องเพศอย่างผิดๆ อาจเป็นเพราะเกิดการได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่พ่อแม่ขาดสัมพันธภาพที่ดีกับบุตรธิดา รวมทั้งสัมพันธภาพระหว่างบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตนกับเพศนั้นๆ ไม่เหมาะสมทฤษฎีบุคลิกภาพ แบบมนุษยนิยม (Humanist Personality Theory)
ทฤษฎีบุคลิกภาพแบบมนุษยนิยม แนะนำเรื่องคุณค่าของการให้ความเคารพโดยปราศจากเงื่อนไขต่อคนอื่น ซึ่งในความเป็นจริงนำไปสู่การปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพที่ดีกว่า ยึดถือแนวทางอิสระของ 2 นักทฤษฎีจิตวิทยาประกอบด้วย
อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) มาสโลว์มีทรรศนะเหมือนกับฟรอยด์ มีความเชื่อ เกี่ยวกับการจูงใจมนุษย์ แต่ทรรศนะของมาสโลว์มีเหตุผลที่มีความแตกต่างจากทรรศนะของฟรอยด์ที่มีความเชื่อในพลังอำนาจ สิ่งที่บุคคลมีมาตั้งแต่แรกเกิด ล้วนแต่เป็นการจูงใจในทางลบ แต่มาสโลว์มีความเห็นว่า จุดอ่อนในสิ่งที่บุคคลมีมาตั้งแต่แรกเกิด ควรจะจัดให้เป็นแนวทางบวก ควรจะได้รับการสนับสนุนให้เกิดการจูงใจ เพื่อให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ จัดเป็นพลังอำนาจที่ดีที่สุด และเป็นการจูงใจที่จะต้องกระทำในทันที มาสโลว์มีความเห็นว่า ถ้าตราบใดที่มนุษย์ยังมีความอดอยากหิวโหยอยู่ สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คืออาหารนั่นเอง ลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ได้มีการเสนอแนะว่า เมื่อมนุษย์ได้รับความต้องการขั้นพื้นฐานจนเป็นที่พึงพอใจแล้ว มนุษย์ก็จะมีความต้องการในลำดับขั้นที่สูงต่อไปให้ปรากฏเห็นอยู่เสมอ
ตามทรรศนะของมาสโลว์มีความเชื่อว่า ความต้องการตามลำดับขั้นทั้งหมดเป็นความต้องการของมนุษย์ที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด แต่มนุษย์ที่มีความต้องการตามลำดับขั้นในขั้นที่สูงขึ้น มนุษย์จึงต้องการ การชี้นำในการกระทำ เมื่อมนุษย์ได้รับความพึงพอใจในลับดับขั้นความต้องการขั้นพื้นฐานคือ ได้รับอาหารเพียงพอแล้ว และมีความปลอดภัยในชีวิตแล้ว ก็เป็นสิ่งที่เชื่อแน่ได้ว่า มนุษย์ก็จะถูกจูงใจให้มีความต้องการทางสังคม หรือมีความต้องการการยอมรับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและจะได้รับการยอมรับนับถือเป็นอย่างสูง เขาก็จะเป็นผู้ที่รู้จักและมีความเข้าใจโลกของเขา หรือจัดเป็นการสร้างสุนทรียภาพแห่งความพอใจที่บริสุทธิ์ มนุษย์สามารถจะประสบผลสำเร็จได้ตามเป้าหมาย เขาจะกลายเป็นบุคคลที่มีความสามารถมากที่สุดตลอดไปและมีความสามารถหลายอย่าง หรือเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จชีวิต ดังนั้นแต่ละบุคคลจะมีความสามารถในการพัฒนาตนเองได้เป็นอย่างดีที่สุด
ทฤษฏีพัฒนาการบุคลิกภาพของอีริคสัน (Erikson’s Theory of development)
อีริคสัน เอช อีริคสัน(Erikson H. Erikson) มีความคิดเป็นว่าพัฒนาการทางบุคลิกภาพเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกช่วงของชีวิต มิใช่สำคัญเฉพาะพฤติกรรมในช่วงแรกของชีวิตที่อยู่ใน Critical Period เท่านั้น ซึ่งพัฒนาการของมนุษย์มิได้เป็นไปเพื่อสนองความสุขความพึงพอใจทางด้านสรีระเท่านั้น แต่ยังจะต้องขึ้นอยู่กับสภาพทางจิต – สังคม ซึ่งหมายถึงลักษณะการอบรม เลี้ยงดู สัมพันธภาพระหว่าง พ่อ – แม่ ตลอดจนอิทธิพลของวัฒนธรรมในสังคมนั้นๆ ซึ่งเด็กจะแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม (Self – Concept) และความรู้สึกนี้เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทางบุคลิกภาพ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ติดต่อสืบเนื่องกันไปตลอดชีวิต
ในแต่ละขั้นตอนของพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่อีริคสันเสนอไว้มีโอกาสที่จะพัฒนาไปได้ไม่ทางบวก ก็ทางลบ ซึ่งมี 8 ขั้นตอนด้วยกัน อีริคสันมีความเห็นว่าพัฒนาการทางบุคลิกภาพเกิดขึ้นได้เนื่องจากคนมีการติดต่อสัมพันธ์กับสังคม ดังนั้นจึงเน้นที่สัมพันธ์ภาพระหว่างบุคคลและสังคมในแต่ละขั้นของการพัฒนาจะมี “ช่วงวิกฤต” (Critical Period) สำหรับที่จะพัฒนาเรื่องนั้น ๆ ซึ่ง อีริคสันหมายถึงผู้ที่มีบุคลิกภาพจิตดี ซึ่งจะเป็นลักษณะของคนที่สามารถเผชิญปัญหาหรือแก้ปัญหาทั้งปัญหาที่เกิดจากภายในตนเองและปัญหาจากภายนอก ด้วยการที่สามารถจัดระบบระเบียบความคิดและสามารถตัดสินใจได้
ในทางตรงกันข้ามถ้าในช่วงชีวิตใด พัฒนาการเป็นไปในทางลบมากกว่า เด็กผู้นั้นจะมีพัฒนาการทางบุคลิกภาพไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นผู้ที่มีปัญหาในการปรับตัว นอกจากนั้นยังอธิบายว่า ถ้าพัฒนาการของ ego ในตอนแรกเป็นไปด้วยดีก็จะไปช่วยพัฒนา ego ในขั้นที่ 2 ต่อไป แต่ถ้าพัฒนาการในขั้นแรกไม่ดี ขั้นที่ 2 อาจจะพัฒนาไปในทางดีได้ ถ้าได้รับประสบการณ์ที่เหมาะสมในช่วงนั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามอีริคสันชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลที่แต่ละขั้นมีต่อกันโดยที่พัฒนาการในขั้นหลังจะได้รับอิทธิพลจากขั้นก่อนนั้น